ข้อพิจารณาบริษัทที่สามารถเป็นห่านทองคำ (คุณเทพ)
1. มีกำไรอย่างต่อเนื่อง
2. เป็นกำไรที่มีคุณภาพ กำไรมาจากไหน ROE ROA
3. กำไรสะสมเป็นบวก
4. มีเงินสดเหลือเฟือ จะสามารถจ่ายปันผลได้
5. มีหนี้สินต่ำ
ุ6. ลงทุนขยายงานไม่หยุด
7. จ่ายปันผลเพิ่มอย่างสม่ำเสมอ
8. ธุรกิิจเติบโต ยอดยายต้องเติบโต
9. ต้องไม่เพิ่มทุนบ่อยๆ ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น จำนวนหุ้นเพิ่ม ทำให้จ่ายปันผลได้ ลดลง
ทั้งหมด เน้นผู้บริหารต้องดี
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Chapter1
เครื่องมือของนักลงทุน
กราฟไม่ว่าจะเป็น bar , candle stick หรือกราฟอื่นๆ ในแต่ละวันของกราฟจะประกอบด้วย ราคาเปิด ปิด สูงสุด ต่ำสุด และปริมาณการซื้อขาย ดังนั้น indicator ที่ใช้ก็จะเกิดขึ้นจากการคำนวนทั้ง 5 ส่วนนี้ ที่ชอบใช้ก็จะมี moving averages, envelopes, MACD และ Force Index
ซึ่งคนอื่นๆจะใช้เครื่องมือนอกจากนี้ก็ได้ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือให้เข้าใจเครื่องมือนั้นอย่างท่องแท้ว่ามันสร้างขึ้นมาอย่างไร มันวัดอะไรหรือบอกสัญญาณอะไร ศึกษาให้เข้าใจก่อนที่จะใช้มัน
ส่วนรูปแบบกราฟอื่นๆเช่น head-and-shoulders, rectangles, diagonal trendlines เชื่อว่า การตีความของมันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ที่มองเห็นเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาอยากให้มันเป็นมากกว่า (สังเกตุเช่น เมื่อกราฟเกิดลักษณะคล้าย h&s , พักฐานสามเหลี่ยม, แท่งเทียน หรือรูปแบบอื่นๆ ก็จะยังไม่มีใครพูดถึงว่ามันจะเกิดทิศทางต่อมาอย่างชัดเจนขึ้น มีการพูดแต่ trendline เท่านั้น จนมันเกิดรูปแบบและทิศทางอย่างชัดเจนไปแล้ว จึงมีการพูดถึง ซึ่งผ่านมาแล้วไม่สามารถทำอะไรได้) ซึ่งออกจะเป็นความเห็นส่วนตัว เราเชื่อรูปแบบง่ายๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน การเบรคเอาท์ และอินดิเคเตอร์ที่เกิดจากการคำนวนทางคอมพิวเตอร์ เพราะว่ามีความหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องตีความมาก
อย่างไรก็ดี เครื่องมือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการลงทุนเท่านั้น การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่ด้วยกัน 3 M คือ Mind , Method และ Money เครื่องมือหรือ indicator เป็นเพียงส่วนหนึ่งคือ Method ซึ่ง M อื่นๆ เช่น Mind ใช้จิตวิทยาการลงทุน Money ใช้การควบคุมความเสี่ยง ซึ่งทั้งสามส่วนจะใช้ร่วมกันด้วยการจดบันทึกที่ดี
กราฟไม่ว่าจะเป็น bar , candle stick หรือกราฟอื่นๆ ในแต่ละวันของกราฟจะประกอบด้วย ราคาเปิด ปิด สูงสุด ต่ำสุด และปริมาณการซื้อขาย ดังนั้น indicator ที่ใช้ก็จะเกิดขึ้นจากการคำนวนทั้ง 5 ส่วนนี้ ที่ชอบใช้ก็จะมี moving averages, envelopes, MACD และ Force Index
ซึ่งคนอื่นๆจะใช้เครื่องมือนอกจากนี้ก็ได้ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือให้เข้าใจเครื่องมือนั้นอย่างท่องแท้ว่ามันสร้างขึ้นมาอย่างไร มันวัดอะไรหรือบอกสัญญาณอะไร ศึกษาให้เข้าใจก่อนที่จะใช้มัน
ส่วนรูปแบบกราฟอื่นๆเช่น head-and-shoulders, rectangles, diagonal trendlines เชื่อว่า การตีความของมันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ที่มองเห็นเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาอยากให้มันเป็นมากกว่า (สังเกตุเช่น เมื่อกราฟเกิดลักษณะคล้าย h&s , พักฐานสามเหลี่ยม, แท่งเทียน หรือรูปแบบอื่นๆ ก็จะยังไม่มีใครพูดถึงว่ามันจะเกิดทิศทางต่อมาอย่างชัดเจนขึ้น มีการพูดแต่ trendline เท่านั้น จนมันเกิดรูปแบบและทิศทางอย่างชัดเจนไปแล้ว จึงมีการพูดถึง ซึ่งผ่านมาแล้วไม่สามารถทำอะไรได้) ซึ่งออกจะเป็นความเห็นส่วนตัว เราเชื่อรูปแบบง่ายๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน การเบรคเอาท์ และอินดิเคเตอร์ที่เกิดจากการคำนวนทางคอมพิวเตอร์ เพราะว่ามีความหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องตีความมาก
อย่างไรก็ดี เครื่องมือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการลงทุนเท่านั้น การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่ด้วยกัน 3 M คือ Mind , Method และ Money เครื่องมือหรือ indicator เป็นเพียงส่วนหนึ่งคือ Method ซึ่ง M อื่นๆ เช่น Mind ใช้จิตวิทยาการลงทุน Money ใช้การควบคุมความเสี่ยง ซึ่งทั้งสามส่วนจะใช้ร่วมกันด้วยการจดบันทึกที่ดี
Chapter2
ในการเทรด กระบวนการตัดสินใจของเราสำคัญที่สุดมากว่าเครื่องมือ
เราต้องวางแผนและตัดสินใจในการเทรดด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราตัดขาดจากคนอื่น เราสามารถมีกลุ่มสนทนาได้ แต่ไม่ความคุยเกี่ยวกับแผนการเทรดของเราขณะที่ยังมีการเทดอยู่จนกว่าจะขายหรือปิดสถานะไปแล้ว เราควรตัดสินใจเอง เรียนรู้ตัวเอง และบันทึกแผนและการเทรดไว้
ดูแลตัวเองอย่างดี ให้รางวัลหากได้กำไร อย่าลงโทษตัวเองถ้าผิดพลาด
ตลาดมีสิ่งเย้ายวนใจ เป็นเหตุผลว่าผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จึงล้มเหลว
หากอารมไม่ดีหรือมีความเครียดจงอยู่ห่างตลาด
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะรักการเทรดมากกว่าผลกำไร การเทรดแต่ละวันจะมีการทำการบ้านมาอย่างดี เพมื่อถึงเวลาเทรดก็จะผ่อนคลาย เนื่องจากได้เตรียมตัวมาอย่างดี
จดบันทึกในการเทรดทุกครั้งอาจสรุปทุกสุดสัปดาห์ เขียนแผนทุกอย่างก่อนเทรด การบันทึกที่ดีจะบอกได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในอนาคต
การควบคุมความเสี่ยง
กฏ 2%
2% จะบอกถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากพอร์ตมีขนาด 100,000 บาท ก็คือ 2,000 บาท
หากเราต้องการซื้อหุ้นราคาหุ้นละ 40 บาท และกำหนดราคาหยุดขาดทุนที่ 38 บาท ความเสีี่ยงคือ 2บาทต่อหุ้น
ให้นำความเสี่งที่ยอมรับได้ทั้งพอร์ต หารด้วยความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่อหุ้น คือ 2,000 หาร 2 เท่ากับ 1,000
ซึ่ง 1,000 นี้ จะเป็นจำนวนหุ้นสูงสุด ที่จะสามารถซื้อหุ้นตัวนี้
กฏ 6%
6% จะเป็นการหยุดเทรดเมื่อผลขาดทุนในพอร์ตรวมกันถึง 6% ในหนึ่งเืดือน ห้าซื้อเฉลี่ย
เราต้องวางแผนและตัดสินใจในการเทรดด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราตัดขาดจากคนอื่น เราสามารถมีกลุ่มสนทนาได้ แต่ไม่ความคุยเกี่ยวกับแผนการเทรดของเราขณะที่ยังมีการเทดอยู่จนกว่าจะขายหรือปิดสถานะไปแล้ว เราควรตัดสินใจเอง เรียนรู้ตัวเอง และบันทึกแผนและการเทรดไว้
ดูแลตัวเองอย่างดี ให้รางวัลหากได้กำไร อย่าลงโทษตัวเองถ้าผิดพลาด
ตลาดมีสิ่งเย้ายวนใจ เป็นเหตุผลว่าผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จึงล้มเหลว
หากอารมไม่ดีหรือมีความเครียดจงอยู่ห่างตลาด
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะรักการเทรดมากกว่าผลกำไร การเทรดแต่ละวันจะมีการทำการบ้านมาอย่างดี เพมื่อถึงเวลาเทรดก็จะผ่อนคลาย เนื่องจากได้เตรียมตัวมาอย่างดี
จดบันทึกในการเทรดทุกครั้งอาจสรุปทุกสุดสัปดาห์ เขียนแผนทุกอย่างก่อนเทรด การบันทึกที่ดีจะบอกได้ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในอนาคต
การควบคุมความเสี่ยง
กฏ 2%
2% จะบอกถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากพอร์ตมีขนาด 100,000 บาท ก็คือ 2,000 บาท
หากเราต้องการซื้อหุ้นราคาหุ้นละ 40 บาท และกำหนดราคาหยุดขาดทุนที่ 38 บาท ความเสีี่ยงคือ 2บาทต่อหุ้น
ให้นำความเสี่งที่ยอมรับได้ทั้งพอร์ต หารด้วยความเสี่ยงที่ยอมรับได้ต่อหุ้น คือ 2,000 หาร 2 เท่ากับ 1,000
ซึ่ง 1,000 นี้ จะเป็นจำนวนหุ้นสูงสุด ที่จะสามารถซื้อหุ้นตัวนี้
กฏ 6%
6% จะเป็นการหยุดเทรดเมื่อผลขาดทุนในพอร์ตรวมกันถึง 6% ในหนึ่งเืดือน ห้าซื้อเฉลี่ย
Part One
Psychology ,Risk Management & Record-Keeping
การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีความแหลมคม ในการหาโอกาสและการเข้าซื้อ ความรู้บวกกับการฝึกฝนอย่างหนักจะทำให้เราอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป
มือใหม่มักจะขาดความรู้และไม่มีการวางแผน เขาอาจเข้าซื้อวันนี้เพราะเห็นข่าวผลกำไรที่ออกมา แต่ในวันพรุ่งนี้เขาอาจขายเมื่อเห็นรูปแบบของกราฟและคิดไปว่ามีลักษณะ Head-and-shoulders ซึ่งหากเราต้องการอยู่รอดในตลาด เราต้องเข้าใจหลักการของการซื้อและการขายอย่างแท้จริง เราต้องมีการกำำหนดแผนในการลงทุนที่ชัดเจนเป็นเกราะป้องกันเพื่อที่จะเพลิดเพลินไปกับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปตามแผนที่ได้วางไว้
ในการศึกษานี้นำพาไปสู่การมองของช่องว่างระหว่างราคากับมูลค่าของหุ้น ซึ่งน่าแปลกใจมากที่มีคนจำนวนน้อยที่คำนึงถึงแม้ว่ามันจะมองเห็นได้ทันทีจากกราฟ
หลักการง่ายๆนี้คิดง่ายๆว่า ราคากับมูลค่ามีความต่างกัน ราคาสามารถจะมาก น้อยหรือเท่ากับมูลค่าหุ้นก็ได้ ระยะห่างระหว่างราดากับมูลค่า อาจจะต่างกันมากหรือน้อย เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ซึ่งตรงนี้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำได้ดี
ในการตัดสินใจซื้อหุ้น ส่วนมากเราจะซื้อเมื่อเราคิดว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าของหุ้น ซึ่งในอนาคต ราคาจะเคลื่อนที่ขึ้นไปตามมูลค่าของมัน ซึ่งดูแล้วก็มีเหตุผลที่จะซื้อเมื่อราดาต่ำกว่ามูลค่า และขายเมื่อราคาเกินมูลค่า แต่คำถามมีอยู่ว่า เรามีการกำหนดมูลค่าได้อย่างไร? เรามีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? เราประเมินระยะห่างระหว่างราคากับมูลค่าได้อย่างไร?
การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีความแหลมคม ในการหาโอกาสและการเข้าซื้อ ความรู้บวกกับการฝึกฝนอย่างหนักจะทำให้เราอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป
มือใหม่มักจะขาดความรู้และไม่มีการวางแผน เขาอาจเข้าซื้อวันนี้เพราะเห็นข่าวผลกำไรที่ออกมา แต่ในวันพรุ่งนี้เขาอาจขายเมื่อเห็นรูปแบบของกราฟและคิดไปว่ามีลักษณะ Head-and-shoulders ซึ่งหากเราต้องการอยู่รอดในตลาด เราต้องเข้าใจหลักการของการซื้อและการขายอย่างแท้จริง เราต้องมีการกำำหนดแผนในการลงทุนที่ชัดเจนเป็นเกราะป้องกันเพื่อที่จะเพลิดเพลินไปกับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปตามแผนที่ได้วางไว้
ในการศึกษานี้นำพาไปสู่การมองของช่องว่างระหว่างราคากับมูลค่าของหุ้น ซึ่งน่าแปลกใจมากที่มีคนจำนวนน้อยที่คำนึงถึงแม้ว่ามันจะมองเห็นได้ทันทีจากกราฟ
หลักการง่ายๆนี้คิดง่ายๆว่า ราคากับมูลค่ามีความต่างกัน ราคาสามารถจะมาก น้อยหรือเท่ากับมูลค่าหุ้นก็ได้ ระยะห่างระหว่างราดากับมูลค่า อาจจะต่างกันมากหรือน้อย เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ซึ่งตรงนี้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำได้ดี
ในการตัดสินใจซื้อหุ้น ส่วนมากเราจะซื้อเมื่อเราคิดว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าของหุ้น ซึ่งในอนาคต ราคาจะเคลื่อนที่ขึ้นไปตามมูลค่าของมัน ซึ่งดูแล้วก็มีเหตุผลที่จะซื้อเมื่อราดาต่ำกว่ามูลค่า และขายเมื่อราคาเกินมูลค่า แต่คำถามมีอยู่ว่า เรามีการกำหนดมูลค่าได้อย่างไร? เรามีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? เราประเมินระยะห่างระหว่างราคากับมูลค่าได้อย่างไร?
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Introduction
เมื่อมีเพิ่มก็ต้องมีลด เมื่อปลูกก็ต้องมีเวลาเก็บเกี่ยว ลูกหมาที่กระโดดขึ้นลงในห้องนั่งเล่นซักวันก็ต้องแก่ลง หุ้นนที่เราซื้อก็คาดหวังว่ามันจะดีและอยากเห็นราคามันเพิ่มขึ้น การซื้อหุ้นนั้นมีความสุข มันเต็มไปด้วยความหวังที่อย่างยิ่งที่จะเห็นมันเติบโตมากๆ แต่การจะขายหุ้นนั้นยาก มันไม่มีความยิดดีนัก เหมือนขับรถพาหมาแก่ไปให้หมอฉีดยาเพื่อรักษาชีวิต แต่การขายหุ้นเป็นสิ่งจำเป็น
มือใหม่มักไม่รู้ว่าจะขายอย่างไร เวลาไหน แต่มืออาชีพชอบที่จะขายและทำกำไรในเวลาหุ้นขาลง เวลาหุ้นตกลงจะให้เวลาเร็วกว่าที่มันขึ้น ถ้านักลงทุนรู้จักการขายและซ็อตเซล เขาจะมีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นได้สองทาง คือขาขึ้นและขาลง ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้จักวิธีการขายให้ดีเสียก่อน
ทำไมถึงต้องขาย?
ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง เหมือนเราทีมีการหายใจเข้าออก เราจะอยู่ในตลาดได้เราต้องปรับสภาพให้ได้ตามจังหวะของมัน มือใหม่ทั่วไปถ้ารู้ว่าจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อไหร่อย่างไรและรู้จักหวะออกเมื่อได้ ก็จะอยู่เหนือฝูงชนทั่วไป
เราจะซื้อเมื่อเรารู้เห็นแง่ดีของหุ้นตัวนั้น หรือกลัวที่จะพลาดบางสิ่งหรือที่เราเรียกว่าตกรถนั่นเอง บางทีอาจได้อ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นว่ามีผลิตภัณฑ์ใหม่หรือข่าวลือต่างๆ หรือนักลงทุนทางเทคนิคอาจจะพบรูปแบบที่ดี ทำให้เราทำการสั่งซื้อหุ้นตัวนั้น เมื่อเราเป็นเจ้าของหุ้นแล้วความกดดันหรือตรึงเครียดจากความกลัวจะเริ่มขึ้น
หากราคาหุ้นวิ่งไปในแนวราบหรือไม่ไปไหน เราจะรู้สึกหงุดหงิดว่าเราเลือกหุ้นผิดอีกแล้วหรือ และหากหุ้นตัวอื่นขึ้นเราจะคิดอีกว่าควรจะขายของเราหรือไม่
เวลาหุ้นขึ้นก็อาจจะมีความกังวลเกิดขึ้น เช่น ควรจะทำกำไรไหม ควรจะซื้อเพิ่มไหม หรือไม่ต้องทำอะไร ซึ่งการไม่ทำอะไรเลยจะเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุดโดยเฉพาะผู้ชาย เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้ทำโนน่ทำนี่มากมาย ไม่ให้อยู่เฉยๆ เมื่อหุ้นตกเราจะรู้สึกเจ็บปวด เราจะคิดว่าจะขายเมื่อราคามันกลับขึ้นมา
ในทางจิตวิทยาคนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจหากราคาหุ้นตัวเองค่อยๆลดลง มันไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด และเมื่อราคามันลงมาใกล้ราคาที่เข้าซื้อ เราก็อาจยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะขายมัน เรายังคงไม่ทำอะไรหรือหาข้ออ้างต่างๆ ที่จะไม่ทำอะไร มีคนบอกว่า หากเราจับกบไปใส่ในน้ำที่ร้อนมากๆ มันจะกระโดดหนี แต่หากเราค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิของน้ำ เราจะสามารถต้มมันได้ทั้งเป็น นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้วงแผนในการขายหุ้น จะถือไว้เมื่อเวลาค่อยๆต่ำลง สามารถอดทดต่อความเสียหายได้
ความเครียดจะเป็นศัตรูของการตัดสินใจที่ดี มันจะยากในการตัดสินใจเมื่อเราเข้ามาเป็นส่วนหนึงของตลาด นั่นเป็นเหตุผลที่ก่อนจะซื้อหุ้นเราจึงต้องวางแผนไว้ก่อน ในแผนของเราต้องบอกถึงเหตุผลของการเข้าซื้อหุ้นและประกอบด้วยตัวเลขสามตัวคือ ราคาที่เข้าซื้อ จุดตัดขาดทุน เป้าหมายของกำไร
ทำการตัดสินใจที่จะขายก่อนที่จะซื้อ นี่เป็นกฎอย่างง่ายที่จะทำให้เราใช้สติปัญญาแทนที่เราจะใช้ส่วนอื่นๆ ที่จะทำให้เราถูกต้มเหมือนกบ เราจะต้องเพิ่มกำไรและลดการขาดทุน และปรับปรุงการเทรดของเราโดยการแผนที่จะขายก่อนเราจะซื้อ
ทำไมมีคนทำกันไม่มาก?
มีสองเหตุผลคือ นักลงทุนส่วนมากมักไม่ค่อยคิดแค่อ่านผ่านๆ อีกเหตุผลหนึ่งคือคนส่วนใหญ่ชอบความฝัน การเขียนจุดขายเหมือนกับเป็นการทำลายความฝันที่อยากจะรวยและรู้สึกดีของเขา การเขียนจุดหมายและการวางแผน จะทำให้เราได้กำไรจริงๆได้มากกว่าความฝันกลางวัน
มือใหม่มักไม่รู้ว่าจะขายอย่างไร เวลาไหน แต่มืออาชีพชอบที่จะขายและทำกำไรในเวลาหุ้นขาลง เวลาหุ้นตกลงจะให้เวลาเร็วกว่าที่มันขึ้น ถ้านักลงทุนรู้จักการขายและซ็อตเซล เขาจะมีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นได้สองทาง คือขาขึ้นและขาลง ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้จักวิธีการขายให้ดีเสียก่อน
ทำไมถึงต้องขาย?
ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง เหมือนเราทีมีการหายใจเข้าออก เราจะอยู่ในตลาดได้เราต้องปรับสภาพให้ได้ตามจังหวะของมัน มือใหม่ทั่วไปถ้ารู้ว่าจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อไหร่อย่างไรและรู้จักหวะออกเมื่อได้ ก็จะอยู่เหนือฝูงชนทั่วไป
เราจะซื้อเมื่อเรารู้เห็นแง่ดีของหุ้นตัวนั้น หรือกลัวที่จะพลาดบางสิ่งหรือที่เราเรียกว่าตกรถนั่นเอง บางทีอาจได้อ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นว่ามีผลิตภัณฑ์ใหม่หรือข่าวลือต่างๆ หรือนักลงทุนทางเทคนิคอาจจะพบรูปแบบที่ดี ทำให้เราทำการสั่งซื้อหุ้นตัวนั้น เมื่อเราเป็นเจ้าของหุ้นแล้วความกดดันหรือตรึงเครียดจากความกลัวจะเริ่มขึ้น
หากราคาหุ้นวิ่งไปในแนวราบหรือไม่ไปไหน เราจะรู้สึกหงุดหงิดว่าเราเลือกหุ้นผิดอีกแล้วหรือ และหากหุ้นตัวอื่นขึ้นเราจะคิดอีกว่าควรจะขายของเราหรือไม่
เวลาหุ้นขึ้นก็อาจจะมีความกังวลเกิดขึ้น เช่น ควรจะทำกำไรไหม ควรจะซื้อเพิ่มไหม หรือไม่ต้องทำอะไร ซึ่งการไม่ทำอะไรเลยจะเป็นสิ่งที่ทำยากที่สุดโดยเฉพาะผู้ชาย เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้ทำโนน่ทำนี่มากมาย ไม่ให้อยู่เฉยๆ เมื่อหุ้นตกเราจะรู้สึกเจ็บปวด เราจะคิดว่าจะขายเมื่อราคามันกลับขึ้นมา
ในทางจิตวิทยาคนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจหากราคาหุ้นตัวเองค่อยๆลดลง มันไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด และเมื่อราคามันลงมาใกล้ราคาที่เข้าซื้อ เราก็อาจยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะขายมัน เรายังคงไม่ทำอะไรหรือหาข้ออ้างต่างๆ ที่จะไม่ทำอะไร มีคนบอกว่า หากเราจับกบไปใส่ในน้ำที่ร้อนมากๆ มันจะกระโดดหนี แต่หากเราค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิของน้ำ เราจะสามารถต้มมันได้ทั้งเป็น นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้วงแผนในการขายหุ้น จะถือไว้เมื่อเวลาค่อยๆต่ำลง สามารถอดทดต่อความเสียหายได้
ความเครียดจะเป็นศัตรูของการตัดสินใจที่ดี มันจะยากในการตัดสินใจเมื่อเราเข้ามาเป็นส่วนหนึงของตลาด นั่นเป็นเหตุผลที่ก่อนจะซื้อหุ้นเราจึงต้องวางแผนไว้ก่อน ในแผนของเราต้องบอกถึงเหตุผลของการเข้าซื้อหุ้นและประกอบด้วยตัวเลขสามตัวคือ ราคาที่เข้าซื้อ จุดตัดขาดทุน เป้าหมายของกำไร
ทำการตัดสินใจที่จะขายก่อนที่จะซื้อ นี่เป็นกฎอย่างง่ายที่จะทำให้เราใช้สติปัญญาแทนที่เราจะใช้ส่วนอื่นๆ ที่จะทำให้เราถูกต้มเหมือนกบ เราจะต้องเพิ่มกำไรและลดการขาดทุน และปรับปรุงการเทรดของเราโดยการแผนที่จะขายก่อนเราจะซื้อ
ทำไมมีคนทำกันไม่มาก?
มีสองเหตุผลคือ นักลงทุนส่วนมากมักไม่ค่อยคิดแค่อ่านผ่านๆ อีกเหตุผลหนึ่งคือคนส่วนใหญ่ชอบความฝัน การเขียนจุดขายเหมือนกับเป็นการทำลายความฝันที่อยากจะรวยและรู้สึกดีของเขา การเขียนจุดหมายและการวางแผน จะทำให้เราได้กำไรจริงๆได้มากกว่าความฝันกลางวัน
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Checklist for Trend following
A checklist:
1. Profit in up or down markets. No matter how ridiculous trends might appear early and no matter how insanely extended they might appear at the end, they always go farther than anyone expects.
2. No gut feelings, hunches, or guesses.
3. No prediction. No one can predict a trend; they can only react to one.
4. The big money of letting profits run: at it's best, trend following aims to compound absolute returns. Average is not the goal.
5. Risk management is top priority. Stop losses and limits on leverage are required.
6. Take advantage of mass psychology.
7. Frequency of correctness doesn't matter, but magnitude of correctness. (Stop out of failed trades quickly, ride strong trends for a long time)
My favorite of his many "quick commandments:"
1. Don't fight the tape!
2. There are not good or bad markets. There are up or down markets.
3. Limit losses and ride profits, irrespective of all other rules
4. Don't try to average a losing game
5. Sell what shows you a loss and keep what shows you a profit
6. Courage in a speculator is merely the confidence to act on the decision of his mind.
7. Watch the market with one objective: to determine the direction of price tendency.
8. If you don't know what is going on, don't do anything.
9. Markets are never wrong, opinions are.
10. Controlling risk is no the same thing as avoiding risk.
11. Dream big dreams and think tall. Very few people set goals too high.
12. An ability to shift on a dime is critical when shifting time comes.
13. Fools try to prove that they are right. Wise men try to find when they are wrong.
จากหนังสือ Trend Commandments: Trading for Exceptional Returns
Michael W. Covel (Author)
1. Profit in up or down markets. No matter how ridiculous trends might appear early and no matter how insanely extended they might appear at the end, they always go farther than anyone expects.
2. No gut feelings, hunches, or guesses.
3. No prediction. No one can predict a trend; they can only react to one.
4. The big money of letting profits run: at it's best, trend following aims to compound absolute returns. Average is not the goal.
5. Risk management is top priority. Stop losses and limits on leverage are required.
6. Take advantage of mass psychology.
7. Frequency of correctness doesn't matter, but magnitude of correctness. (Stop out of failed trades quickly, ride strong trends for a long time)
My favorite of his many "quick commandments:"
1. Don't fight the tape!
2. There are not good or bad markets. There are up or down markets.
3. Limit losses and ride profits, irrespective of all other rules
4. Don't try to average a losing game
5. Sell what shows you a loss and keep what shows you a profit
6. Courage in a speculator is merely the confidence to act on the decision of his mind.
7. Watch the market with one objective: to determine the direction of price tendency.
8. If you don't know what is going on, don't do anything.
9. Markets are never wrong, opinions are.
10. Controlling risk is no the same thing as avoiding risk.
11. Dream big dreams and think tall. Very few people set goals too high.
12. An ability to shift on a dime is critical when shifting time comes.
13. Fools try to prove that they are right. Wise men try to find when they are wrong.
จากหนังสือ Trend Commandments: Trading for Exceptional Returns
Michael W. Covel (Author)
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554
Candlestick Reversal Patterns
Charting 201 – Intermediate
Candlestick Reversal Patterns
The next sets of candlesticks shown below are known as the “hammer” and the “hanging man.” The lower shadows attached to the bodies should be twice the length of the real body itself. These candlesticks will have no upper shadow and appear to have a “flat head.” When you come across a hammer which has formed after a downtrend, remember that the trend may then slow down and change direction by moving sideways or changing directions by heading straight into an uptrend. A hanging man represents the exact opposite. Once you see a hanging man following an uptrend, take profits right away. This is a selling indicator which now represent a change in trend may occur in a negative direction.
In the next graph we will take a look at “bullish engulfing” and “bearish engulfing” patterns. These patterns can also predict a trend change. This pattern consists of two candlestick bodies of opposing color in which the second body is larger and “engulfs” the previous body. Remember that these reversal
This figure shows another type of reversal pattern, the “dark cloud,” in which appears at the height of an uptrend or near the top of a sideways move. Here, the first real body is clear and long while the second real body opens above the close of the first, but closes near the low of the trading range. This second move should penetrate deep into the territory that the first real body was trading in. The deeper the pullback, the more bearish of an indicator the signal becomes. On the other hand, the “bullish piercing” pattern, shows us a bullish trend reversal in which a long dark real body precedes a long white real body. This powerful reversal pattern will take place at the bottom of a downtrend.
Harami and the Harami Cross
The “harami” pattern is made up of a long real body that engulfs the smaller candlestick. This can be associated to a parent with their child. The longer body must occur first, followed by a shorter body. The colors do not need to be opposite, but are usually found in that manner. These patterns warn that the current trend may be slowing down or ready to trade sideways for some time.
The “harami cross” forms when the second candlestick is a doji. Since we have a doji forming, there will be a powerful move. This move depends on what body is formed and will be an indication of what direction will follow. If the body is dark, the move will be bearish. If the body is clear, the move will be bullish. Examples of harami and harami cross patterns are shown below.
Candlestick Star Patterns
The next group of patterns is made up of three candlesticks that include “stars.” These patterns are very strong signs that a reversal is coming. These candlesticks must appear at the top or bottom of a trend. The star must gap away from the other two candlesticks surrounding it. If the star is a doji, we should consider this an even more powerful sign that a reversal is occurring. The other bodies surrounding the star should be long real bodies of opposing color. Note that a doji that does not exactly open and close on the same price is still a significant signal. A doji followed by other doji and may be trending in a sideways fashion are weak signals and should not be played.
Long-legged Doji and Gravestone Candlesticks
The gravestone is another profit taking pattern for the bulls when the stock is in an uptrend. Usually following this symbol one will probably see a mob of sellers waiting anxiously to drive the stock price back down. One can see by the illustration that the stock will open and close near the lows of the day.
Spinning Tops and High Wave Candlesticks
The last groups of candlesticks shown below are named “spinning tops” and “high wave candlesticks.” Candlesticks that show a smaller real body and obtain either color are known as spinning tops. They do not act an indicator, but tend to show up in charts.High wave candlesticks show very long upper and/or lower shadows. A group of high wave candlesticks may tell of a trend change.
Congested and Continuation Patterns
Congested and consolidation patterns are easy to spot. When a stock trades and moves in an irregular pattern, it is said that the stock is congested. We do not want to a stock when it is behaving in such a manner. The second that investors trade a stock with uncertainty, the market shows us her sense of humor as foolish investors are taken to the cleaners.
On the other hand, when a stock seems to trade in a sideways and orderly fashion, it is said that the stock is consolidating. The longer a stock trades in this pattern, the more powerful the breakout in which ever direction it goes. In this chart you will be able to see an example of when a stock trades in either pattern.
Flag and Triangle Continuation Patterns
A stock’s price can do two things. It can either reverse or continue in the same direction. Continuation patterns are made up of candlesticks and indicate great buying opportunities. In this chart we will take a look at a few patterns to study and spot for further profits. One thing to remember is that when stocks are in an uptrend and pulls back in the form of flags; make sure the pullbacks occur on low volume. Low volume means that the pullback is not powerful enough to break the uptrend.
Optimal Moving Average Positioning
Moving averages come in three kinds known as simple (SMA), weighted, or exponentially smoothed averages. An example of a 50-day movingMajor moving averages can act as great supports for a stock. It can be like a magnet in the way a stock will bounce off it only to return to the moving average and bounce off it again.
On the other side of acting as a support, moving averages can also form a resistance. Once a stock has traded under a major moving, that average becomes a ceiling. This fact is especially true once the stock has fallen under its 200-day moving average. Some of the major moving averages include the 20-day, 40-day, 50-day, and 200-day moving averages. Other averages used that could be beneficial are a stock’s 10-day, 30-day, 40-day, and 100-day moving average.
This graph shows a typical setup when a stock is in good shape in an upward trend.
Double Top and Double Bottom Reversal Patterns
The next sets of patterns are very important and are the easiest to spot. The double top and bottom form when the stock tries to retest old support/resistance levels and fails. Look at these examples of a double top and bottom:
Here, we see an “M” pattern forming on a double top which is a major bearish sign. In a double bottom a “W” type pattern is formed in which we see a bullish rally to follow. If the stock is to form more humps and continue to test the resistance or support areas there will be a major move in the direction indicated. This goes along with a major move if a stock moves sideways in a basing pattern for a long time. The longer the wait, the stronger the breakout whether it is up or down.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)