วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

TFEX ง่ายๆ สไตล์ อาหนวด

บทที่ 1

หากเราอยากเป็นนักบิน ก็ควรคุยกับนักบิน ที่เที่ยวบินสูง ถึงจะรุ่ง หากเราอยากเป็นนักแข่งรถ ก็ควรจะคุยกับนักแข่งที่ผ่านการล้มการคว่ำมาแล้ว หากเราอยากเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ ก็ควรจับเข่า สนทนากับนักเทรด ที่มีบาดแผลเต็มตัว แล้วสามารถพลิกฟื้นสถานะ นำความผิดพลาดมาพัฒนา จนเงินงอกเงยขึ้นมา สมกับคำว่า "มืออาชีพ" ทีมงาน ThaiDayTrade.com ก็อยากพัฒนา เป็นมืออาชีพกับเขามั่ง และเชื่อว่า ทุกท่านมีศักยภาพ ที่จะพัฒนา ไปสู่ความเป็นมืออาชีพได้ และเชื่อว่า เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ออกไปทำงานเฉพาะทาง ยากกว่านั้นเยอะ คิดได้อย่างนี้แล้ว เลยไม่รีรอ ที่จะขอสัมภาษณ์ เทรดเดอร์ รุ่นพี่ เพื่อเป็นแนวทางให้ทีมงาน และเพื่อนสมาชิก



ทีมงาน ได้รบเร้า คุณ RNuadAm เทรดเดอร์ Full-time อยู่นานสองนาน เพื่อขอเรียนรู้ วิธีการ และ แนวคิด ของการเทรด TFEX จาก ผู้มากประสบการณ์ ...... ด้วยลูกตื้อของทีมงาน และ ด้วยความเมตตา ต่อมือใหม่ ในตลาด TFEX ท่านจึงให้เกียรติ กับ ThaiDayTrade.com ด้วยอาการ ขวยเขิน ถ่อมตัว ก่อนที่จะยินดีเผย ที่มาที่ไป และแนวคิด ของนักลงทุนท่านหนึ่ง ที่มีรายได้หลัก มาจากการเทรดในตลาด TFEX เพียงอย่างเดียว ...... ThaiDayTrade.com รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ท่านให้โอกาสพวกเรา ได้เรียนรู้และศึกษา .......... ขอขอบคุณ คุณ RNuadAm เป็นอย่างสูง ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

Trade for a Living, Invest for Life



ตั้งแต่Tfex เข้ามานี่ ทำให้ความฝันของนักลงทุน ที่ลงทุนในหุ้นเป็นอาชีพหลัก เหมือนฝันที่เป็นจริงนะ ตอนสมัย ก่อนที่มีแต่หุ้นนั้น ยากลำบากมาก กับการที่คิด จะมาทำอาชีพ เล่นหุ้นอยู่บ้าน อย่างเดียว เพราะเนื่องจากจะได้กำไรแต่ละที ตลาดบางช่วง ก็ไม่สามารถทำกำไรได้เลย รอกันบางครั้งเป็นปีก็มี เพราะ การเทรดเป็นอาชีพ เงินทุกบาท ทุกสตางค์ ต้องมีความมั่นใจได้ ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะลงทุนไป ในแต่ละครั้ง และตลาดหุ้น ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า ยากเกินกว่า จะคาดเดานัก ถ้าพลาด นั่นหมายถึงว่า อดตายทันที ต้องขายน้ำเต้าหู้ เป็นอาชีพเสริมกันเลยทีเดียว จริงๆ อาหนวดก็เพิ่ง ออกมาเทรดอย่างเดียว ไม่นานหรอกนะ ก็เพิ่ง ช่วงหลังนี่เอง ก็เพราะมี tfex นี่แหละ ทำให้กล้า ที่จะออกมา อย่างเต็มตัว แต่ก่อน ต้องนั่งทำงานอยู่กองทุน โดยอยู่ใน ตำแหน่งเบื้องหลังนะ ตอนเช้า ส่งเปเปอร์วิเคราะห์ ว่ามองตลาด จากเทคนิค อย่างไร แล้วงานก็จบแค่นั้น ทั้งวันที่เหลือ ก็คือ เทรดอย่างเดียว แต่ก็ลองผิดลองถูก กับฟิวเจอร์มาพอสมควร ในช่วงแรกๆมา จากนี้ไป จะเล่าถึงประสบการณ์ ที่มิรู้ลืมเลย เกี่ยวกับฟิวเจอร์


สิ่งแรกที่ได้เลยคือ อย่าลงทุนเกินตัว เด็ดขาด ต้องหาจุดสมดุล ที่ตัวเองจะรับได้ (ถ้าเกิดต้องขาดทุน) ให้ได้ก่อนครับ คนหลายคน เข้ามาในตลาด tfex ด้วยความคาดหวัง ที่ค่อนข้างสูง จากเงินลงทุน เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า ผลลัพ เวลาผิดพลาดแล้ว มันใหญ่หลวงนัก ยกตัวอย่างเช่น เด็กชายแมว มีเงินอยู่เพียง 230,000 บาทเท่านั้น แล้วคุณคิดว่า เด็กชายแมวจะลงฟิวเจอร์ ทีละกี่สัญญาครับ แน่นอน ต้อง 4 สัญญาไปเลยสิ จะช้าอยู่ใย สำหรับคนที่เล่น เดย์เทรดในวัน นี่ไม่ว่ากันนะครับ เพราะจะลงเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ ก็คัดทันอยู่แล้ว ถ้าผิดทาง เราสามารถ lock ความเสียหายได้เสมอ มิต้องห่วง แต่คราวนี้ เรามาดูเด็กชายแมว ที่จะถือข้ามวันบ้าง ถ้าอีกวัน เป็นวันเดียวกับ อุ๋ย 100 จุดหล่ะครับ เด็กชายแมวจะเป็นอย่างไร คำตอบครับ หมดตัวยังน้อยไป เพราะเป็นหนี้เพิ่มอีกต่างหาก แล้วอาหนวดนี่แหละครับ เคยเป็นแบบ เด็กชายแมว มาแล้ว เมื่อก่อน อาหนวดวางเงินไป ล้านกว่าบาทครับ เล่นทีละกี่สัญญา ลองทายดู ก็เต็มที่ไงครับ ยี่สิบกว่าสัญญาเลยครับ ช่วงแรก ได้กำไรบ้างขาดทุนบ้าง ก็ของใหม่ครับ กำลังเห่อเลย แต่พอถึงวันอุ๋ย 100 จุด เท่านั้นแหละครับ รู้ป่าวครับ อาหนวด คนที่เล่นหุ้นมาทั้งชีวิต ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศชาติเราเปิดเลย ผ่านมาแล้ว ทุกเหตุการณ์ ได้แต่นั่งตาค้าง อยู่หน้าจอครับ ทำอะไรไม่ถูก กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็โดนไป สองล้านแล้วครับ น่านหมายความว่าไงครับ ก็หมายความว่า หนึ่งล้านกว่าบาทที่วางไป นอกจากหมดไป ในพริบตาเดียวแล้ว ยังต้องหามาเพิ่มอีก นะครับ อีก ประมานล้านนึง มันไม่ได้จบแค่ ห้าหมื่น ที่เราวางไปหมดนะครับ มันยังกินต่อไป ได้อีกเรื่อยๆครับ วันนั้นถ้าเป็นหุ้น เราจะไม่เสียหายขนาดนี้ แน่นอนครับ เงินต้นยังเหลือด้วยซ้ำไป


ตั้งแต่วันนั้นมา เลยต้องมานั่งทบทวนใหม่ว่า จริงๆแล้ว ฟิวเจอร์มันเสี่ยงจริงเหรอ หรือว่า เราทำให้มันเสี่ยงเอง ก็สรุปออกมาได้ว่า เรานั่นแหละครับ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นมาเอง ทั้งนั้น ตามหลักการแล้ว ห้าหมื่น ที่เขาให้วางก่อนเล่น มันเป็นแค่การอนุโลม ให้เราวางขึ้นต่ำ ได้เท่านั้น แต่ตามจริง เราควรจะ มีเงินมากกว่านั้น ต่อหนึ่งสัญญา ที่เราลงไปครับ อาจจะไม่ต้องถึง ห้าแสนต่อหนึ่งสัญญา ก็ได้ครับ ซักแสนนึงก็ยังดี อย่างน้อยอัตราเร่ง ในการเสีย แต่ละครั้ง ก็จะได้ลดลง เมื่อเทียบกับเงินลงทุน ทุกวันนี้ อาหนวดเปลี่ยนใหม่ครับ ต่อหนึ่งสัญญา จะวางเงินไปประมาน 250,000 บาท เป็นอย่างต่ำนะครับ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น เราสามารถรับความเสี่ยง ตรงนั้นได้ แล้วทำให้ สายป่านเรา ยาวขึ้นมาอีกครับ เพราะอาหนวดเล่นเดย์เทรดไม่เก่ง ทุกวันนี้ เป็นนักลงทุนประเภท รอจังหวะ เข้าแล้วก็ถือซักพัก ครับ จุดคัด lose ทุกครั้ง จะอยู่จากจุดที่เข้า ทั้งหมด 30 จุดครับ เพราะการตัดสินใจเข้าแต่ละครั้ง จะรอ รอจนมั่นใจแล้วว่า จุดที่เข้า เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด (ของอาหนวดนะครับ) แล้วจึงเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นด้าน short หรือ ว่าด้าน long เชื่อไหมครับ ตั้งแต่วันนั้น (อุ๋ย 100 จุด) มา อาหนวดไม่เคยได้ คัด lose อีกเลยครับ ไม่เคยขาดทุน เสียเงิน ให้กับตลาด tfex อีกเลย เพราะเราหาจุดเหมาะสมที่ลงตัว กับ วิเคราะห์เครื่องมือทางเทคนิค ของเรา มาบวกเข้ากับ จังหวะเวลาลุงทุนที่เหมาะสม 30 จุดที่ตั้งคัดไว้ มันไม่เคยมาถึงซักทีครับ อย่างมากก็แค่เกือบๆ มา ให้เสียวเล่นเท่านั้นเอง ถ้าคิดจะลงทุนใน tfex คุณจะต้องหา จุดเหมาะสม ของตัวคุณ ให้ได้ ก่อนที่จะตัดสินใจ ลงทุนกับมัน จุดที่จะตั้ง cut lose เอาไว้ "คุณต้องไม่ยืดหยุ่นกับมัน เด็ดขาด" เมื่อมาถึง ต้องออก แล้วทำให้ได้แบบนั้น ทุกครั้ง จำไว้ครับ ก่อนลงทุนแต่ละครั้ง เราไม่รู้หรอกว่า ครั้งนี้ เราจะได้กำไรเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เรารู้แน่นอนก่อนเสมอ ก็คือ เราจะรู้ว่า เราจะขาดทุน ได้เต็มที่เท่าไหร่ครับ นี่เป็นกฏที่สำคัญที่สุด ของการเล่นฟิวเจอร์ครับ แล้วคุณจะได้มากกว่าเสีย แน่นอนครับ

บทที่ 2


คราวที่แล้ว ก็ได้บอกสิ่งสำคัญที่สุด ของการลงทุนใน tfex ไปแล้วนะครับ คราวนี้ ก็จะมาถึงว่า แล้วอาหนวดใช้อะไร ดูปัจจัยอะไร ในการที่จะตัดสินใจลงทุนแต่ละครั้ง อันนี้ขอตอบ แบบไม่มีปิดบังเลยครับ ว่า อาหนวดเป็นนักลงทุนประเภทที่เรียกว่า Technofundamental นะ คือจะผสมผสานกันทั้งสองอย่าง ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิค แล้วก็การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ที่เอาเทคนิคไว้ข้างหน้า ก็เพราะว่า อาหนวดจะดูกราฟ ก่อนที่จะอ่านข่าว แล้วค่อยตีความจากกราฟ หรือ เครื่องมือเทคนิคต่างๆ มาเป็นปัจจัยที่ จับต้องได้ เช่น สมมุติว่า ptt กราฟ กำลังจะตัดขึ้นนะ ก็จะมานั่งตีความแล้วว่า น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับ ptt ได้บ้างในช่วงนี้ เช่น อาจจะกำลัง จะโชว์ผลประกอบการหรือป่าว มันก็แปลกนะ บางทีเราไม่มานั่งจำหรอก ว่ามันจะประกาศช่วงไหน ยังไง แต่กราฟมัน ก็ทำให้เรา นึกขึ้นได้เฉยเลย


สำหรับอาหนวด มองว่าการลงทุนใน tfex นั้น จะใช้ ปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวลงทุน คงลำบากมากนะ เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับ set50 แล้วที่สำคัญเลย ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบกับ หุ้นใน set50 นั้นก็ไม่ตรง ตามที่มันควรจะเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา ถ้าเอาแบบเห็นได้ชัดเลย ก็ราคา น้ำมัน กับ ptt ไง ผันผวนรวนเร เปลี่ยนไปมา บางครั้งวิ่งตรงกันข้ามเลย ไหนจะพอน้ำมันขึ้นมากๆ หุ้นทั้งตลาดก็พากันลงอีก นี่แค่ยกตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ นะครับ (แต่อาหนวดก็ไม่ได้บอกว่า ปัจจัยพื้นฐานมันใช่ไม่ได้นะ อย่าเข้าใจผิด) อาหนวดเลยใช้ปัจจัยทางเทคนิค เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นตัวนำมากกว่า แล้วค่อยนำมาเชื่อมโยง กับปัจจัยพื้นฐานอีกครั้ง แล้วจากที่ ลงทุนมานะครับ การวิเคราห์หุ้นทางเทคนิค นี่นำมาใช้กับ tfex ได้ดีเยี่ยมเลยครับ ทำให้เล่นง่ายมากๆเลยครับ แต่ก็ไม่ใช่ ไปเล่นทื่อๆ นะครับ เช่น สมมุติถ้าเล่นตามเส้น ema ก็ไม่ใช่ว่า พอมันตัดขึ้นก็long พอมันตัดลงแล้วค่อยปิด long ถ้าเล่นแบบนี้ ไม่รอดครับ จะได้กำไร รึป่าว ตอนสิ้นปี ก็ยังไม่รู้เลยครับ เพราะอาจจะไปเจอ ช่วงที่ตลาดไม่ไปไหน ก็ได้ครับ ตัดไปตัดมา ประเด็นที่จะบอก ก็คือ แค่อย่าโลภเท่านั้นเองครับ เวลาเครื่องมือมันบอกว่า มันจะขึ้น เราก็เข้าไปครับ แล้ว หาจุดที่เรียกว่า ความพอเพียงของตลาด แล้วก็ออกก่อนครับ แล้วไอ้จุดที่เรียกว่าความพอเพียงของตลาด มันอยู่ตรงไหนหล่ะ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ ก็คือ เอาเป็นว่า ทุกครั้งของการเดินทาง มันจะต้อง มีจุดเริ่มต้นและจุดจบเสมอ เพราะฉะนั้น มันก็จะต้องมีจุดตรงกลาง ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดจบ ก็คือตรงกลางไงครับ (งงเนอะแล้วจะรู้ได้ไง ว่ามาถึงตรงกลางแล้ว อันนี้ต้องถามใจเราเองครับ ถ้าโลภมาก เราจะหามันไม่เจอครับ)


ทุกท่านพออ่านบทความตอนนี้จบแล้ว ลองไปเปิดกราฟดูนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือตัวไหน ก็แล้วแต่ มันจะมีจุดตรงกลาง ของทั้งระหว่างทางขึ้นและลงให้เราออกก่อนเสมอ หาให้เจอครับ ดูให้เป็น แล้วคุณจะได้กำไรจากตลาด ตลอด ใช้หลักการที่ว่า "เข้าทีหลังออกก่อน" ครับ เช่น อาหนวดอยากได้กำไรแค่รอบละ 15 จุด ของการมีสัญญาณเข้าซื้อและขาย ของเครื่องมือแต่ละตัว (ใช้ระยะday ขึ้นไปนะครับ) ขอตั้งคำถามครับ คิดว่าอาหนวดจะได้ตามประสงค์หรือป่าว แน่นอนครับ แค่ 15 จุดที่เข้าไปนัวเนียเนี้ย ได้แน่ๆ (แต่นี่แค่ยกตัวอย่างนะครับ ไม่ได้หมายถึงจะต้อง เป็น15 จุดแค่นั้น) แต่ปัญหาของคนที่เล่น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นและ tfex ส่วนใหญ่ เหมือนกันหมด คือ อยากที่จะซื้อที่จุดต่ำสุด และขาย ที่จุดสูงสุดเสมอ แต่ในความเป็นจริง สิ่งนี้แหละครับ ที่ทำให้หลายๆครั้งเรา ต้องเสียโอกาส เสียกำไรที่เราควรจะได้ไป


นี่แหละครับ วิธีการเล่นเบื้องต้นของอาหนวดครับ ก็เป็นแค่เพียงวิธีหนึ่งในอีกหลายๆวิธี ในการลงทุนในตลาด tfex นะครับ แล้วก็ไม่ได้บอกว่า วิธีนี้จะดีที่สุด แค่ให้ไว้เป็นแนวทางครับ วิธีนี้เหมาะ สำหรับนักลงทุนผู้ใจเย็น (อย่างอาหนวด) ส่วนวิธีการมองตลาดอย่างอื่น เดี๋ยวตอนหน้าค่อยว่ากันครับ จะมาให้เจาะกันใหม่ เอาวิธีเบื้องต้นไปก่อนครับ คืออย่าโกรธกันนะครับ แล้วก็โปรดอย่ารู้สึกหมั่นใส้อาหนวดด้วย ถ้าจะบอก ว่า ตลาด tfex สำหรับคนที่ รู้จักวิธีเล่น รู้จักเข้ามาฉกฉวย แบบไม่โลภ ตลาด tfex มันก็ไม่ต่างอะไรกับตู้ atm ที่มีเงินรอให้เรากดออกไปเสมอ เมื่อโอกาสเป็นใจครับ เพียงแต่ตอนที่เข้าไปกด อย่าไปกดผิดจังหวะ และ เวลา เท่านั้นเองครับ

บทที่ 3


ตอน 3 แล้ว นะ ก็ดูอยู่ว่า จะมีคนอ่านเยอะหรือป่าว แต่ก็แค่ 300 ขึ้น ก็พอใจ แล้วหล่ะครับ ใน300 นี้แค่เอาไปใช้ซัก 10 % ก็พอ แล้ว ก็จะมีคน 30 คนที่ จะเสียเงินน้อยลง จนถึงขั้นอาจจะเปลี่ยนมาเป็นได้กำไรเลย นะ ตอน3 แล้ว ก่อนที่จะอ่านตอนนี้ ก็ขอให้ทำสิ่งๆหนึ่ง ก่อนนะครับ ย้ำครับ ว่า "ต้องทำ" ก่อนจะอ่านตอนนี้ ไม่งั้นจะไม่อิน เข้าไปในบทความ สิ่งที่ขอให้ทำก็คือ ให้หยิบกระดาษ ขึ้นมาหนึ่งแผ่นครับ พร้อมด้วยปากกา หนึ่งด้าม แล้วให้เริ่มเขียน วันที่เราเริ่มลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศชาติ ลงไปครับ พร้อมด้วย เงินลงทุนครั้งแรก หุ้นตัวแรกที่ซื้อด้วย แล้วก็ผลงานกับหุ้นตัวแรก ที่เราได้ลงทุนไปครับ แล้วก็ระยะเวลา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ว่าลงทุนมาแล้ว ทั้งหมด กี่วัน เดือน ปี กัน แล้วถ้าจะให้ดี ช่วย รวมผลกำไรขาดทุนออกมาด้วย ก็จะดีมากครับ อันนี้ให้รวมทั้งหุ้นแล้ว ก็ tfex เข้าไปด้วยนะครับ เชื่อป่าวครับ มีไม่กี่คนหรอกครับ ที่จะเขียนได้ทั้งหมด ตามที่อาหนวด ขอให้เขียน โดยเฉพาะ ผลกำไรขาดทุนเนี้ย ยิ่งคนลงทุนมานาน ๆ จำไม่ได้หรอกครับ ก็จะรู้แต่ว่า ขาดทุนอยู่ หรือ ได้กำไรอยู่ แล้วก็ เชื่อเถอะครับว่า หลายๆท่าน ผลก็คือ ขาดทุนสุทธิ จะมากน้อยก็แล้วแต่ นะครับ แต่ถ้าคนไหน ลงทุนมาเกิน 1 ปี แล้ว กำไรสุทธิ อยู่นะครับ คนที่ได้กำไรอยู่ อาหนวดแนะนำครับ ให้คุณข้ามตอนที่ 3 นี้ไปเลยครับ ส่วนคนที่ ขาดทุนสุทธิอยู่ ให้ตามมาครับอ่านให้จบ (ขอร้อง)


คนที่ขาดทุนสุทธิ นะครับ เอาแบบรวมทั้งหุ้นด้วย แล้วก็ฟิวเจอร์ด้วย โปรดอ่านแหละช่วย ไตร่ตรอง กับสิ่งที่อาหนวดจะเขียนให้อ่าน ต่อไปนี้ดีๆนะครับ คุณเคยถามตัวเอง บ้างหรือป่าวครับ ว่า ทำไมเล่นมาตั้งนานแล้ว ยังเสีย ซ้ำๆ เสียแบบเดิมๆ รูปแบบในการเสีย เหมือนเดิม บางครั้งเหมือนหนังม้วนเดิม กลับมาฉายซ้ำเลย อะยกตัวอย่างให้หนึ่ง


ตัวอย่างนะ เช่น สมมุติเมื่อคืนนี้ คุณทำการบ้านมาแล้วอย่างดี ทั้งแนวรับแนวต้าน ที่วางแผนไว้ สมมุติ นะ คุณคิดแล้วว่า ถ้า ฟิวเจอร์ลงมา ที่ 470 เมื่อไหร่ คุณจะเข้าไป long ทันที นะ เพราะมันเป็นแนวรับ ที่มองไว้ว่าตรงนี้แหละ สุดยอดแล้ว ok พอก่อนตลาดเปิดจริง โอ้วเราก็ต้องอ่าน up date ตัวเอง พอดีดาวโจนเมื่อคืนลบกระจายเลย เอาหล่ะสิ เมื่อวานมันปิดที่ 483 เลยนะ คราวนี้พอถึงตลาดเปิด จะเอายังไงดีหล่ะ เค้าบอกว่ามันลงแน่ บางที่ก็บอกว่า ไม่มีผล กับตลาดบ้านเราหรอก เพราะเมื่อคืนน้ำมันบวกกระจายเหมือนกัน แต่เรา ก็ดูมาแล้วนะ ว่า 470 เครื่องมือเราบอกว่า เป็นแนวรับที่ดี อาจจะเอาอยู่ก็ได้ ตลาดเปิดแล้วครับ เปิด ลงไปที่ 477 เลย ลงมา6 จุด ลงไม่เยอะนะเนี้ย อืม ....... พอเปิดไปได้ 20 นาที เหมือนจะมีรีบาวด์นะ ขึ้นไปถึง 481 เลย เอ้า ! แบบนี้ไม่ลงแน่เลย เลย long ตามไปเลย ที่ 481.20 อ้าว พอได้มา อีก 10 นาทีมันลงแล้ว ลงมาที่ 477 อีกรอบ ทำไงหล่ะครับ มีสองทางเลือก คัดกับ ซื้อเพิ่ม ส่วนใหญ่ทำไงครับ ก็ซื้อเพิ่มไงครับ โอ้วก่อนปิดตลาดเที่ยง มันยืนอยู่ นะเนี้ย 477 ไม่ยอมหลุด ก็ต้องซื้อเพิ่มสิครับ สรุปตอนนี้มี2 ชุดแล้วนะครับ พอตลาดเปิดภาคบ่ายมา ยุโรปแดงเข้ม ดาวฟิวลบมากขึ้น ไหลเลยที่นี้ พอตอนเย็น ลงไปที่ 470 จริงๆด้วย ตอนนี้ก็มี 2 ทางเลือกอีกหล่ะ คือ คัด กับ คัดแล้ว เปลี่ยนจาก long เป็น short แทน (เพราะ ซื้อเข้าไปเต็มพอร์ตแล้ว ไม่สามารถซื้อได้อีกแล้ว ไม่งั้นซื้อเพิ่มไปแล้ว) ก็สรุปตอนเย็นเลยนะครับ ว่ามาปิดที่ 471 นะ โดยนายคนนี้ ก็ต้องถือต้นทุน ที่แพงกว่าอยู่ ทั้งๆที่ ทำการบ้านมาแล้ว ว่า 470 น่าจะเอาอยู่ แล้วมัน ก็เอาอยู่จริงๆ แถมมาเด้ง ตรงนี้ด้วยสิ ยกตัวอย่างมาถึงตรงนี้ ต้องมีคนอมยิ้ม กันบ้างแหละครับ น่านมันตรูเลยนี่หว่า เสียอะไรบ้างครับงานนี้ เสียโอกาส ไงครับ ถ้าพรุ้งนี้มันเกินรีบาวด์ขึ้นมาซัก 477 คุณก็ได้ แล้ว ตั้ง 7 จุด แต่จากตัวอย่างนี้ รู้สึกว่า ยังไม่ถึงต้นทุนเลยด้วยซ้ำไป หรือว่าถ้าอีกวัน มันลงต่อ คุณก็จะขาดทุนไม่มาก เท่าที่คุณรับไว้ตอนแรกที่ 481.20 จริงป่าวครับ ลงไปจากราคาปิด แค่ไม่กี่จุด บางท่านก็โดน call แล้วหล่ะ


แล้วไงต่อครับ คนคนนี้ก็จะบอกกับตัวเองว่า รู้งี้นะ คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้นะ จะวางแผนใหม่ สมมุติว่าคน คนนี้รอดมาได้ ครับ ไม่โดน ก็รู้สึกโล่งอกไป แล้วก็จะตั้งใจใหม่ ว่าคราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว แต่เชื่อป่าวครับ ว่าคราวหน้า ก็คือคราวหน้าครับ คนนี้เค้าก็จะวนเวียน อยู่กับวิธีการเดิมๆ อยู่แบบนี้ จนไม่มีเงินเล่น ท้อ แล้วก็ออกจากตลาดไปในที่สุด เอาหล่ะครับ ที่เขียนมาซะยาว นี่ก็คือ จะบอกครับ ว่า

ถ้าจะกลับพอร์ต จากที่ขาดทุนในตลาด มาตลอดชีวิตการลงทุน คุณต้องเปลี่ยนครับ เปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนเดิมๆ สภาพแววล้อมเดิมๆ นิสัยเดิม ต้องเปลี่ยน ต้องเอาออกไปจากชีวิตคุณให้ได้ครับ วิธีการขั้นต้นเลยครับ ต้องเขียนออกมาครับ ว่า อะไรบ้าง ที่ทำให้เราเสียหุ้น เสีย tfex ย้ำนะครับ ต้องเขียนออกมา ใส่กระดาษให้หมดเลย ทุกเรื่องทุกอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเล่น นิสัยในการลงทุน วิธีที่เราเล่น ในแต่ละครั้ง ปัจจัยอะไร ที่เราใช้มันแล้ว เราเสียทุกที รับรองครับ ถ้าตั้งใจเขียนจริงๆ กระดาษหน้าเดียวไม่พอครับ


ทำไมต้องเขียนออกมาครับ เพราะเมื่อเราเขียนออกมาแล้ว เราจะเห็น เป็นรูปธรรมไง ครับ แล้ว ก็ทำ copy ไว้ ซัก 2 ชุดครับ เผื่อหายต้องมานั่งนึกใหม่ เสียเวลากันอีกรอบ คราวนี้ทำไงต่อครับ ง่ายมากเลย ก็แค่ไม่ทำตามนั้นให้ได้ ก็พอครับ คืออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอ่าน มองว่าอาหนวด เอาเรื่องที่ทุกคน ก็รู้อยู่แล้ว มาให้อ่านทำไม ถ้าทำได้ก็ไม่เสียหรอก ป่านนี้ได้กำไรกันหมดแล้ว แต่จะมีซักกี่คนครับ ที่เคยทำ แบบที่อาหนวดให้ทำ


อาหนวดทำแบบนี้ มาตลอดชีวิตการลงทุนครับ ทุกครั้งที่ผิดพลาด จะเขียนเอาไว้เสมอว่า ครั้งนี้เราเสียเพราะอะไร ทำแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มแล้วครับ ป๋าอาหนวดให้ทำ การลงทุนบางครั้ง เราก็ต้องทำตัว ให้เหมือนว่าเรา กำลังจะไปแข่งกีฬา เหมือนเราเป็นนักกีฬา ที่ต้องมีการจดสถิติการซ้อม คอยหาข้อผิดพลาดต่างๆ จากการเข้าแข่งขัน แต่ละครั้ง เพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง แล้วกีฬา ประเภทที่เราเล่นกันอยู่นี้ ความผิดพลาดของบางคน มันแพงเสียจน รับไม่ได้ก็มีนะครับ บางครั้งชัยชนะ ไม่ใช่การแข่งว่า ใครเก่งกว่ากันนะครับ แต่แข่งกันว่า ใครจะผิดพลาดน้อยกว่ากัน มากกว่าครับ ลองทำตาม บทความตอนที่ 3 ของอาหนวดนี้ดูเถอะครับ แล้วจะรู้ว่า มันมีประโยชน์มากมายทีเดียว ที่จริง แค่เราไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง เราก็ไม่เสียเงินแล้วครับ

บทที่ 4


มาถึงตอนที่4 แล้ว เจาะใจอาหนวด เห็นคนเข้าอ่านเรื่อยเลย เห็นแล้ว ก็มีกำลังใจ ตอนที่ 4 นี่ก็จะเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องเหมือนกัน (ก็เห็นสำคัญทุกเรื่องแหละ สำหรับอาหนวด) จุดมุ่งหมายในการทำกำไร หรือ เรียกแบบชาวบ้าน ว่า จะเอากำไรไปทำไม จะเอาไปทำอะไรบ้าง ถ้าได้มันมาแล้ว งสระอู 2ตัวเลยสิ เล่นฟิวเจอร์ เล่นหุ้น เล่นแล้ว เคยคิดวางแผนกันบ้างหรือป่าว ว่า ถ้าได้กำไรแล้ว จะเอาไปทำอะไรบ้าง ได้แล้วถอนออกไปใช้จ่าย ถอนออกไปใช้หนี้ หรือว่าได้มาแล้ว เอาไปทำทุนต่อไป จะได้เล่นเพิ่มได้อีก มีกำลัง ที่จะเปิดสัญญาเพิ่มขึ้น จะได้สร้างโอกาส ในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือว่าได้กำไรมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถ เอามาทำอะไรได้เลย เพราะยังขาดทุนสะสมอยู่มากมาย


เราต้องรู้จักวางแผนนะ ว่ากำไรที่จะได้ เราจะเอาไปทำอะไรบ้าง ใน 100% สำหรับอาหนวด จะไปทำบุญก่อน10% อีก70% เอาออก ไปเก็บในธนาคาร เพื่อวางแผนการใช้จ่ายต่อไป อีก20% ที่เหลือ เพิ่มกำลัง ในการผลิตเข้าไป (เพิ่มทุนเข้าไป) ทำแบบนี้มานานแล้ว ทำจนติดเป็นนิสัย เป็นระเบียบวินัยเลยก็ว่าได้ ทำไมต้อง มีการแบ่ง % เวลาได้กำไร หล่ะ ก็เพราะ ถ้าเราเล่นไปวันๆ เล่นแบบไม่มีการวางแผน พอร์ตเราจะไม่มีทางโต หรือว่าพอโต ก็จะไม่เป็นระบบ การเพิ่มทุนทีละนิด ทีละนิด จะทำให้เราไม่เพิ่มความกดดัน ให้ตนเองมากจนเกินไป ในคราวเดียว เหมือนเราเคยแข่งระดับหมู่บ้าน อยู่ดีๆ มีคนมาชวนเรา ไปแข่งกีฬาแห่งชาติเลย ความกดดัน ตื่นเต้น จะทำให้เรา ผิดผลาดได้มากกว่ากันเยอะ เราอาจจะเล่นผิดฟอร์มไปเลย ก็เหมือนกัน เล่นอยู่ 1 สัญญา แล้วกระโดด ข้ามไปเล่นที่ 10 สัญญาเลย ย่อมทำให้ สมาธิในการตัดสินใจ ความสามารถ ในการรับความกดดัน ย่อมต่างกันอย่างมากมาย หลายขุม ส่วนเงินที่เรานำออกมาข้างนอก อย่าง 70% ที่อาหนวดยกตัวอย่างของอาหนวดเอง เงินนั้น ถือว่าเป็นรางวัล เป็นรายได้หลักของเรา เราต้องเอาออกมา จะไม่เอา เข้าไปลงทุนเพิ่มเด็ดขาด ต้องเอาเก็บไว้กิน ไว้ใช้ เผื่อช่วงไหน ลงทุนไม่ได้จริงๆ ก็ต้องนั่งดูนั่งรอกันไป (คนที่ติดตามอาหนวดมาตลอด จะทราบดีว่า บางครั้ง อาหนวดถือเป็นเดือนๆ กว่าจะได้กำไร)


ทำเถอะครับ ทำซะตั้งแต่วันนี้ จัดการให้เป็นระบบระเบียบ จะได้กำไรหลักพัน หลักหมื่น หรือว่าหลักล้าน ก็ทำซะนะ อย่าได้ช้า หรือว่า มองข้ามเรื่องนี้ไปครับ สูตรอาจจะไม่ได้ตายตัว เหมือนที่อาหนวดว่าไว้ ก็ได้ครับ มันแล้วแต่ความเหมาะสม ของแต่ละบุคคล ว่าจะวางแผนชีวิตไว้อย่างไร อย่างเช่น คนที่มีรายได้หลักมาจากอย่างอื่นด้วย ก็อาจจะ แบ่งเป็น 10% ทำบุญ 20% เอาออกมาใช้ อีก 70% เอาไปเพิ่มทุนซะก็ได้ เหมือนกันครับ


ให้เรานึกว่า เรากำลังเปิดร้านค้า ทำการค้า การค้าของเรา ก็คือ ร้านขายฟิวเจอร์ ถ้าเราเปิดร้านค้า ขึ้นมาแล้ว ไม่เคยทำบัญชี ไม่เคยวางแผนการใดๆ เลย ซื้อมาก็ขายไป ขาดทุนบ้าง พอได้กำไร ก็ไม่ได้บันทึกเอาไว้ แบบนี้ซักวัน ร้านเราคงจะเจ๊งแน่ เรื่องที่ไม่จำเป็นเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อีกเรื่องหนึ่งเลย ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จ กับการลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศชาติไทย นี้ ลองทำตามดูเถอะครับ สิ่งที่อาหนวดบอกมา ตั้งแต่เจาะใจอาหนวดตอนที่1 คุณลองเอาทุกสิ่ง ที่อาหนวดบอก มาลองปฏิบัติตามดูครับ ทำให้ได้ตามนั้นทั้งหมด มันอาจจะไม่ทำให้คุณร่ำรวยขึ้นในทันทีทันใดนะ แต่อาหนวดรับรองได้เลยว่า ถ้าทำตามจริงๆ รับรอง คุณจะไม่จนจากการเล่นฟิวเจอร์แน่นอน

บทที่ 5


คราวที่แล้ว อาหนวด ในตอนที่ 3-4 อาหนวดได้พูดถึง เรื่องการเขียน สิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเสียตังค์ กับ เรื่องของการทำผลกำไรขาดทุน การวางแผนทางการเงิน แน่นอนคนที่เข้ามาอ่าน ในเวปไทยเดย์เทรดได้ ก็ต้องใช้คอม ดูคอมกันอยู่ ไม่งั้น จะมาอ่านได้อย่างไร อาหนวดจะขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวก่อนนะ คือเมื่อก่อนนี้ ก่อนที่จะมาทำเวปบล็อก อาหนวดจะต้องทำการบ้านทุกวัน ตอนเย็น แล้วก็ตอนเช้าต้องทำอีกรอบ เพื่อส่งงาน ทำให้อาหนวด มีสมุดบันทึกมากมาย ที่เกี่ยวกับการลงทุนของตัวเอง ทั้งสมุดบันทึกเรื่องกราฟ ที่ได้ทำการทดลอง เครื่องมือต่างๆนาๆ บันทึกเรื่องความผิดพลาด แล้วก็สมุดการบ้าน ที่ต้องทำทุกวัน ทั้งหมดแยกกัน พอเก่าก็ต้องทิ้งบ้าง หายบ้าง บางเล่มอาหนวดว่า มีค่ามากกว่าหนังสือที่ขายอยู่ในท้องตลาดซะอีก (บางเล่มนะครับ ไม่ได้ว่าทั้งหมดนะครับ สำหรับผู้เขียนบางท่าน ก็ถือว่าสุดยอด อาหนวดยังซื้อมาอ่านเลยครับ) สมุดบันทึก เวลาเราทำการบ้าน เราเขียนแนวรับแนวต้าน หรือวิเคราะห์อะไร ก็แล้วแต่ บางครั้ง เราอยากจะใส่ภาพเข้าไปด้วย ก็ทำไม่ได้ หรือขี้เกียจทำ เพราะต้อง ปริ๊นออกมา แล้วก็ต้องมา ตัดติดลงบนสมุด สภาพออกมาน่าเกลียดมากเลย บางที เราอยากจะเอามานั่งดูอีกครั้ง เราก็ไม่รู้แล้วว่า เรื่องที่เราอยากจะดูมันอยู่เล่มไหน



ที่บรรยายมาซะยาวคือ อยากให้เห็นภาพของความลำบาก ในการเก็บบันทึกข้อมูล ในสมัยก่อนที่ยังไม่ได้มีบล็อก คราวนี้พอมาเริ่มรู้จักบล็อก อาหนวดกลับรู้สึกว่า โอ้วววว มันน่าจะมีมาตั้งนานแล้วนะ ขอซัก 30 ปีที่แล้ว คงจะดี ทุกอย่างมันฟรีหมด เราสามารถบันทึกกราฟ เป็นรูปภาพลงไปได้ บทความ บทวิเคราะห์ส่วนตัวของเรา ในแต่ละวัน จะอ่านย้อนเมื่อไหร่ เรื่องไหน ก็หาง่ายแสนง่ายเหลือเกิน สบายกว่ามานั่งเขียน มานั่งวาดภาพเอง นี่คือ สิ่งที่หามานาน และ อาหนวดจะบอกว่า มันสอดคล้อง กับสิ่งที่อาหนวดได้แนะนำ ให้ทุกคนได้ทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกสิ่งที่ผิดพลาด หรือว่า การวางแผนทางการเงินของ เรา กำไรขาดทุน ทุกอย่าง เราสามารถบันทึกลงไปในนี้ได้หมด เราจะทำแบบดูคนเดียว คนอื่นไม่สามารถเข้ามาดูก็ทำได้ แล้วเรายังสามารถ save บล็อกของเราเก็บสำรองข้อมูล ที่เราเขียนมา ทั้งหมดไว้ได้อีก เผื่อว่าวันนึง เค้าไม่ให้เราใช้งานแล้ว


เอาหล่ะเมื่อมีเวปบล็อกกันแล้ว เราจะนำมันมาใช้ประโยชน์อะไร กับการเล่นฟิวเจอร์ของเราได้บ้าง การเล่น ฟิวเจอร์ หรือ หุ้น ก็แล้วแต่ เราต้องมีการทำการบ้าน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าทุกวัน ดูกราฟ ดูการเคลื่อนไหวของปัจจัยต่างๆ เราก็จะบันทึกไว้ในนี้ โดยเฉพาะเรื่องรูปกราฟ เราจะสามารถย้อนกลับมาดูได้เลยว่า วันนั้นทำไมเราถึงเข้าไป เห็นเป็นภาพชัดเจน ถ้าเกิดมีภาพนั้นอีก ถ้าเราเคยเข้าแล้วได้กำไร ก็เข้าไปอีก แต่ถ้าขาดทุน แล้วไอ้รูปแบบนี้มันโผล่มาอีก เราก็จะได้ไม่เข้า สำคัญมากนะเรื่องนี้ (สำคัญอีกแล้ว) ถ้าคุณคิดจะพัฒนาตัวเอง จากการเทรดเป็นอาชีพเสริม จนกลายมาเป็นอาชีพหลัก ซึ่งจริงๆแล้ว ทุกคนไฝ่ฝันนะ มันเป็นอาชีพที่สบาย ทำกำไรได้มากมาย (ถ้าคุณรู้จริงนะ)


คิดดูสิ ตลาดเปิด 10 โมงเช้า พอเที่ยงครึ่งก็ปิดพักกลางวัน เปิดอีกที 14.30น. พอ 16.55 น. ตลาดฟิวเจอร์ก็ปิดแล้ว ทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมงเอง ที่สำคัญ ไม่ต้องไปไหนเลย เปิดคอมเล่นอยู่กับบ้านก็ได้ หรือว่าจะไปเที่ยว เดี๋ยวนี้ก็มีไอ้ระบบ ใช้งานเคลื่อนที่อะไรนั่นหนะ (555 อาหนวดไม่เคยใช้เลยไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร .... ตอบอาหนวด เค้าเรียก พีดีเอเทรดดิ้ง หรือ โมบายเทรดดิ้งคับ) ถ้าเราอยากพักร้อน เมื่อไหร่ ก็ไปได้ตลอดเวลา ถ้าเราเจ๋ง จริงนะ ปีหนึ่งเล่น 2 ครั้งก็ยังได้เลย เงินที่ได้ ก็นำมาวางแผนเฉลี่ยใช้เอา เพียงแต่ช่วงที่ได้ อย่าฟุ่มเฟือย ก็เท่านั้นเอง


ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตแบบที่เรากำหนดเองได้ แบบที่อาหนวดว่ามา คุณต้องทำครับ ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องทำเวปบล็อกอย่างเดียวนะ แต่หมายถึง ต้องรู้จัก ทำการบ้าน จดบันทึกการลงทุนของคุณ ศึกษาหาความรู้ แล้วนำมาทดลองใช้ จดข้อดีข้อเสียของเครื่องมือแต่ละตัว นี่คือสิ่งที่คุณต้องยอมแลก ต้องลงมือทำก่อน แล้วพอถึงจุดนึงแล้ว ความสบายข้างบนมันจะตามมาเอง "กำไรในตลาด มันคือรางวัล สำหรับผู้ที่ทำงานหนักเท่านั้นครับ" ตามจริง ถึงอาหนวดจะเพิ่งออกจากกองทุน มาเทรดเองที่บ้านก็ตาม แต่งานอาหนวดเมื่อก่อน ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่บ้าน เทรดเอง มานานแล้ว ตอนเช้าส่งเปเปอร์ แล้วก็จบ ว่างทั้งวัน เพราะใครจะมาบ้า ให้ฝ่ายวิเคราะห์ นั่งวิเคราะห์ทั้งวันหล่ะ (แต่เปเปอร์ที่ส่งหน่ะ 10หน้านะ 5555 ทำเป็นชั่วโมงเหมือนกัน) คิดซะครับ ว่าถ้าเราจะไปเข้าไป เอาเงินจากตลาด เราจะต้องทำ เพราะคู่ต่อสู้เราแต่ละคน ธรรมดาที่ไหนหล่ะ โดยเฉพาะการเล่นฟิวเจอร์ มันเป็นการจับคู่ ต้องมีคนหนึ่งได้เงิน และอีกคนหนึ่งที่จับคู่กับเราเสียเงิน ใครทำการบ้านมาดีกว่า ย่อมมีโอกาสมีชัยชนะมากกว่าอยู่แล้ว เหมือนกีฬานั่นแหละ ซ้อมมาดีกว่า ก็มีโอกาสชนะ 90% ที่เหลืออีก 10% ก็ต้องเผื่อใจไว้ ให้กับเรื่องของดวงกันบ้าง

Notes from “Beating the Street"

เอามาฝากจากห้องvalue investingโดยคุณviim

Notes from “Beating the Street"
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้

การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้

กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก