วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กับดักเทรดเดอร์

 
ความต้องการทำกำไรทุกครั้งที่เท​รด มันก็แหงนะสิครับ!@#$ ถ้าคิดว่าจะขาดทุนแล้วจะซื้อทำไม. พูดอีกก็ถูกอีก ผมมีโอกาสสอนกลุ่มเรียนรู้มาหลา​ยกลุ่ม และเจอคำถาม classic กับทุกรุ่นคือ ซื้อไม้นี้จะกำไรมั้ยคะ? ถ้าผมตอบว่ามันน่าจะไปนะ น่าจะเป็น Trend ก็จะเจอคำถามต่อยอด แล้วจะไปถึงเท่าไร? คนตอบจะอึดอัดใจมาก เพราะไม่มีใครรู้หรอก เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น หากตอบไป มันจะไปสร้างฝันให้กับเขาว่าซื้​อไม้นี้แล้วจะกำไรเท่านั้นเท่าน​ี้ ฯลฯ แต่ความคิดแบบนี้มันเป็นปัญหามา​ก. เพราะมันได้สร้างความ "ยึดติด" ว่าการเทรดครั้งนี้ฉัน "ควร" ได้กำไร แปลย้อนกลับไปได้อีกว่า ฉันต้อง "ไม่ขาดทุน" และความรู้สึก "ต้องไม่ขาดทุน" นี่สิ อันตรายมากๆ. มันทำให้แผน/กลยุทธ์การลงทุนที่​วางไว้พังหมด. เพราะคุณเริ่มต่อรองกับภาพที่เห​็นในตลาด. เราโดน SL แล้วราคาทำ low แล้ว เฮ้ย! แต่มันอาจเป็น Bear trap ก็ได้. แบบนี้ถือไว้ก่อน ถ้าเกิด Bear trap จริง เราก็จะเสียโอกาส คิดไปต่างๆ นาๆ แทนที่โดน SL แล้วจะหนีออกมาก่อน. ตั้งหลักดูจังหวะใหม่ กลายเป็นกอดหุ้น รอให้มัน "ขึ้นมากำไร" เสียก่อนแล้วค่อยออก. หลายๆ คนก็ติดหุ้นยาวไปเลย. กลายเป็น De-value investor ไป. 

Value investment หรือ VI คือการลงทุนที่เน้นหุ้นที่มีมูล​ค่า มี Growth potential แต่ De-value investment คือการติดหุ้นที่ไม่มีมูลค่า มีแต่ลดค่า. หรืออาจเรียกได้ว่าอยู่ในระยะที​่ "รอให้มันขึ้นมากำไรก่อน แล้วค่อยขาย" 555

การลงทุนกับการคาดการณ์ (Forecast) และการสร้างสมมุติฐานต่างๆ มันเป็นของคู่กัน แม้กระทั่งกฏเหล็กของ Dow theory ก็คือสมมุติฐานที่เกิดจากข้อสัง​เกตุนั่นเอง คู่กันแต่ก็ต้องไม่สร้างมานะที่​คิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน จะ Forecast ไปอย่างไรก็ได้ก็ตามแนวที่เรียน​มา แต่มันก็ต้อง confirm ด้วยภาพที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น​. การเทรดบนฐานของ Technical และ CDC นั้น ไม่ว่าจะนับเวฟอย่างไร. ในการเข้าซื้อจริงนั้น ก็ต้องอาศัย Trigger ที่เกิดจากพฤติกรรมราคาจริงเท่า​นั้น. ไม่ใช่มองว่าจุดนี้ต่ำสุดแล้วซ์​้อเลย โดยที่ยังไม่มี reversal pattern ให้เห็นอย่างชัดเจน. การเทรดทุกครั้งมีการวาง Stoploss ให้ชัดเจนก่อน. ส่วนกำไร ถ้ามันถูกทางจริง เดี๋ยวมันก็กำไรเอง. เหมือนกับที่ฝรั่งเขาพูดว่า "Take care of your losses and the profit will take care of itself." หากหลุดพ้นความยึดมั่นถือมั่นว่​าเทรดไม้นี้ต้องกำไรเท่านั้นเท่​านี้ แรงกดดันมันก็ไม่เกิด. ไม่ว่าราคาจะไปทางไหน เราก็ยังรักษาวินัย เดินตามแผนที่วางไว้ได้อย่างไม่​ไหวหวั่น

ทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมด. Technical ทำตามได้ดี อาศัยการวางเงินที่ดีด้วย การปั้น Port ให้โต มันทำกันที่ Money management ไม่ใช่เฝ้า chart (แต่ว่าจะเชื่อและทำตามข้อนี้ได​้ เผชิญเยอะเหมือนกันนะ) ฉะนั้นไม่ต้องกำไรทุกไม้ Port ก็โตได้




กับดักเทรดเดอร์ #2: The sky is falling

by Thamrongchai Eakamornwong on Tuesday, 09 August 2011 at 09:30
ตื่น มาเช้านี้กับ Hang Seng Index ที่ร่วงไปกว่า 1,500 จุด ยังไม่ได้อ่านข่าวอะไร แต่น่าจะเป็นวันที่ Index เขาร่วงหนักสุดวันหนึ่งของเขา. SET บ้านเราคงไม่หนีกันเท่าไร. เมื่อวานผมก็สังเกตุเห็นแล้วว่า Emini S&P ท่าไม่ดี แต่ก็ยังเฉยๆ รู้สึกลงแรง แต่ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวอะไร. คงเพราะว่าไม่ได้ถือ Futures แล้ว มีหุ้นอยู่นิดหน่อย (และยังกำไรอยู่) เลยฉุกคิดได้ว่าเพราะเรามีหุ้นในมือน้อย เราเลยเฉยๆ. แต่ถ้าเราถือ Long position ไว้เต็ม port ป่านนี้คงนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว. ผมคิดว่าตลาดมันมี Rally และ Panic สลับกันไป. และก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด. มันเป็นธรรมชาติของมันแบบนั้น แต่การที่ความเคลื่อนไหวของราคามันมากระทบใจเรานี่ต่างหาก ผูกกับอารมณ์หน่วงๆ ในกำไรที่ไม่ได้เป็นของเราใน port (ซื้อแล้วยังไม่ปิดสถานะมันยังไม่กำไรหรอกนะ) มันไปสร้างความกลัว อารมณ์หวาดผวา.. นี่ก็อีกปัญหา classic

พออารมณ์หวาดผวา (Panic) เข้ามาแล้วนะ. หุ้นดี หุ้นเน่า (หุ้นที่ซื้อเมื่อวานและกะเล่นเด้ง) เราจะปล่อยของหนีหมด. ทันทีนึกถึงคำครู เขาว่าต้องมี Stoploss ป้องกันความเสียหาย. หุ้นบางตัว Stop ไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว หุ้นบางตัวยังไม่โดน Stop ไม่เป็นไร. ล้าง port เคลียร์ของออกไปก่อน. อ้างทฤษฏี/หลักการ รักษาเงินที่เหลือไว้ กำขี้ดีกว่ากำตดก็ขึ้นมาทันที. ตลาดจะย่อลงต่ออีกเยอะเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือเมื่อ นลท. อยู่ในภาวะหวาดผวา เวลา Stop ก็ทำไปบนฐานที่อารมณ์ตลาดมันพาไป. พอตลาดเริ่ม Rally ก็ซื้อไปฐานที่อารมณ์ตลาดมันพาไป สรุป: โดยไม่รู้ตัวก็กลายเป็น Zombie ของวิญญาณแมงเม่าทันที ทำไมต้องมี Zombie วิญญาณแมงเม่า เพราะแมงเม่าโดนจัดหนัก ตายเรียบทุกงาน. เหลือเพียงวิญญาณที่มาเข้าสิงเหยื่อรายต่อไปเท่านั้น อะนะ แร๊งส์.....

แก้ ยาก จะไม่ให้เป็นทาสอารมณ์ตลาด เราต้องเอาอารมณ์ออกจากการเทรด. วิธีที่จับต้องได้และทำได้จริงคือเรานำ "ระบบ" มาใช้ จะสร้างบ้านสักหลังเขายังต้องวาดผังบ้าน. การเทรดก็เหมือนกัน จะต้องวาดแผนการเทรดมาให้ละเอียด. การเทรดให้รอดในระยะยาววางอยู่บน concept ง่ายๆ 2 ข้อคือ: i) ผิดทางมี Stoploss และ ii) ถูกทาง Let profit run และต่อยอดจากจุดนั้น ควรวางเงินในหุ้น ใน Futures เป็นสัดส่วนเท่าไร. วาง Risk exposure เราไว้อย่างไร, เรารับ Drawdown ได้ "จริง" แค่ไหน. เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ แต่น้อยคนยอมทำจริง. เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ในการฝึกฝนจริง อาจต้องทำกันทั้งชีวิต. ยังไงก็ดีใคร Panic ปล่อยเขา Panic ไป ขอให้ทุกท่านเอาตัวรอดจากตลาดได้อย่างมีสตินะครับ