"ธุรกิจแข็งแกร่ง ได้เปรียบสูง คู่แข่งสู้ไม่ได้ อนาคตเติบโต"
ดู ถ้าอุตสาหกรรมดี กิจการอยู่ตำแหน่งไหน อยู่ลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม ดูพวกที่ไม่เป็นตัวเลขก่อน หากดีจึงไปดูตัวเลข ถ้าดูตัวเลขก่อน จะถูกล้างสมองหมด
"หากกิจการดี ตัวเลขจะคอนเฟริม กำไรต่อยอดขายต้องเพิ่มขึ้นทุกปี"
"หุ้นของผมอาจจะต้องเป็นหุ้นที่ “โต” หรือโตเร็ว หุ้นที่กิจการไม่โตหรือจะเล็กลงในอนาคตผมจะตัดออก "
"เวลาซื้อหุ้นพื้นฐานดีๆ แล้วหุ้นลง ถ้าคิดว่าเราวิเคราะห์ถูกแล้วมั่นใจ ก็ซื้อเพิ่มได้ แต่ทีนี้บางครั้งหากมันลงแล้วเรารีบซื้อ ซึ่งผลประกอบการเรายังไม่เห็นเพิ่ม มันอาจถึงเวลาว่า ตอนนั้นผลประกอบการไม่ได้เติบโตอย่างที่เราคิด (หรือมันเติบโตถึงที่สุดแล้ว) ผ่านไปแล้วไตรมาสหนึ่งก็ไม่ดี ไตรมาสต่อไปก็ไม่ดี เราจึงอาจคิดผิด การเข้าไปซื้อเพิ่มจะทำให้เราขาดทุนมากไปอีก โดยปกติจะรอดูผลประกอบการไตรมาสต่อมาก่อน หากมันดีจึงซื้อเพิ่มตอนนั้น ดังนั้นต้องดูพื้นฐานประกอบ ไม่ใช่ดูว่าราคาหุ้นมันลงแล้วจึงซื้อเพิ่ม นอกจากเราเห็นว่าพื้นฐานมันดีจริง ที่หุ้นมันลงเพราะมาจากเหตุผลอื่น"
"เวลาดูหุ้นขึ้น ดูที่ปริมาณการซื้อขาย ว่าเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่ ถ้าหุ้นขึ้นหรือลงด้วยปริมาณการซื้อขายที่มาก ราคาหุ้นก็อาจจะสูงหรือต่ำกว่าปกติ ถ้าหุ้นขึ้นด้วยพื้นฐานที่รองรับตลอด ใช้เวลาระยะหนึ่ง ไม่ใช่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กำไรเติบโต มั่นคง ปริมาณการซื้อขายปกติไม่มีการเกร็งกำไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มากหรือน้อยเกินไป ก็ซื้อเพิ่มได้ ไม่ใช่หุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องซื้อนิดเดียวราคาก็ขึ้น หรือมีแรงซื้อเข้ามามากๆ แรงเกร็งกำไรมาก ทำให้ราคาอาจผิดธรรมชาติ (เน้นดูโวลุ่ม)"
"จะซื้อก่อนหรือหลังปันผลก็ได้"
"เมื่อซื้อหุ้นโตเร็ว ถึงวันที่เติบโตช้าลง หรือธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นธุรกิจสิ่งพิมพ์ เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาอาจมีผลกระทบต่อธุรกิจได้ จะขายก็ให้ดูที่พื้นฐาน"
"ถ้าโวลุ่มมาแต่ผลประกอบการไม่มา อาจเป็นเพราะคนคาดการผลประกอบการสดใสเกินไป แต่ถ้าหากผลประกอบการมาด้วย(กำไร) ก็อาจมีบางช่วงที่โวลุ่มมาก คนเริ่มเห็น แต่ก็มีซักระยะหนึ่งก็เริ่มอยู่ตัว ก็ไม่มาเกร็งกำไรแล้ว"